วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การสอนคนให้เป็นคนดี (ตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้า)

การสอนคนให้เป็นคนดี (ตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้า)
การ ที่ใคร ๆ จะสั่งสอนใครให้เป็นคนดีนั้น ตัวเองควรปฏิบัติตัวเองให้เป็นคนดีโดยสมบูรณ์ก่อน จึงควรไปสั่งสอนผู้อื่น ถ้าไม่เช่นนั้นจะเข้าทำนองว่า แม่ปูสอนลูกปู น่าละอายใจจริง ๆ ดังมีประเด็นที่ควรทำความเข้าใจต่อไปนี้ คือ
๑. ประเด็นที่ ๑ คำสอนเรื่องคนดี
๒. ประเด็นที่ ๒ ความหมายของคนดี
๓. ประเด็นที่ ๓ คนดีที่โลกต้องการ
๔. ประเด็นที่ ๔ คุณสมบัติของคนดี
๕. ประเด็นที่ ๕ การปลูกฝังคุณสมบัติของคนดีที่โลกต้องการ 
= ประเด็นที่ ๑ คำสอนเรื่องคนดี =
สุตตันตปิฎก เล่ม ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ จูฬกัมมวิภังคสูตร ข้อ ๕๘๐ ๕๘๑ สุภมาณพทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พวกมนุษย์ที่เกิดมา ปรากฏความเลว (ความชั่ว) และความประณีต (ความดี) แตกต่างกัน คือ
. บางคนมีอายุสั้น บางคนมีอายุยืน
. บางคนมีโรคมาก บางคนมีโรคน้อย
. บางคนมีผิวพรรณทราม บางคนมีผิวพรรณงาม
. บางคนมีศักดาน้อย บางคนมีศักดามาก
. บางคนมีโภคะน้อย (ยากจน) บางคนมีโภคะมาก (ร่ำรวย)
. บางคนเกิดในสกุลต่ำ บางคนเกิดในสกุลสูง
. บางคนไร้ปัญญา (มีปัญญามิจฉาทิฏฐิ) บางคนมีปัญญา (มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ)
พระผู้มีพระภาคทรงตรัสตอบว่า ดูกรมาณพ !
. สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน (กรรมเป็นเจ้าของชีวิต)
. เป็นทายาทแห่งกรรม (ตัวชีวิตเป็นผลของกรรม)
. มีกรรมเป็นกำเนิด (เกิดเป็นชีวิตได้เพราะกรรม)
. มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ (สืบต่อเผ่าพันธุ์ด้วยกรรม)
. มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย (กรรมเป็นที่พึ่งผู้ซื่อสัตย์ที่สุด)
. กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้
(อกุศลกรรมที่เป็นกรรมชั่วทำให้เกิดเป็นคนชั่ว ส่วนกุศลกรรมที่เป็นกรรมดีทำให้เกิดเป็นคนดี) 
ประเภทของกรรม
คำ ว่า กรรม พฤติกรรม และคำว่า คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ ในทางปฏิบัติจริง มีความหมายถึงการกระทำทางกาย ทางวาจา และทางใจ เหมือนกันหมด เรียกว่า กรรม คือ การกระทำทั้งสิ้น
อภิธรรมปิฎก จัดธรรมหรือกรรมที่เป็นบทแม่ มาติกาทั้งหมดไว้ ๒๒ หมวดธรรมหรือกรรม และธรรมหมวดแรกใน ๒๒ หมวดนั้นมีว่า
๑. กุสลา ธัมมา. กุศลธรรมหรือกุศลกรรม คือกรรมดี
๒. อกุสลา ธัมมา. อกุศลธรรมหรืออกุศลกรรม คือกรรมชั่ว
๓. อัพยากตา ธัมมา. อัพยากตธรรมหรืออัพยากตกรรม คือ กรรมไม่ดีไม่ชั่ว”    
(๑) กุศลธรรมหรือกุศลกรรม
กุศล ธรรมหรือกุศลกรรม แปลว่า ธรรมหรือกรรมที่ทำให้คนผู้ทำตามเป็นคนดี ฉลาดในการดำเนินชีวิตให้พ้นจากภัยพิบัติในโลก ซึ่งมีกุศลกรรมที่ดีอยู่ ๑๐ อย่าง คือ
. เจตนางดเว้นจากการฆ่าสัตว์มีชีวิตและมีลมปราณ (ไม่ฆ่าสัตว์มาเลี้ยงชีวิต)
. เจตนางดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้แล้ว (ไม่ทุจริตในทรัพย์มาเลี้ยงชีวิต)
. เจตนางดเว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย (ไม่ขายกามเลี้ยงชีวิต)
. เจตนางดเว้นจากการพูดเท็จ (ไม่รับจ้างพูดเท็จเลี้ยงชีวิต)
. เจตนางดเว้นจากการพูดส่อเสียด (ไม่รับจ้างพูดยุยงส่งเสริมให้คนแตกแยกเลี้ยงชีวิต)
. เจตนางดเว้นจากการพูดคำหยาบ (ไม่รับจ้างพูดคำหยาบคายเลี้ยงชีวิต)
. เจตนางดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ (ไม่รับจ้างพูดเหลวใหลหลอกลวงเลี้ยงชีวิต)
. เจตนางดเว้นจากการคิดเพ่งเล็งผู้อื่นในแง่ร้าย (ไม่รับจ้างคิดวางแผนหลอกล่อคนสัตว์ให้หลงผิด)
. เจตนางดเว้นจากการคิดปองร้ายผู้อื่น (ไม่รับจ้างคิดวางแผนทำร้ายคนสัตว์)
๑๐. มีความเห็นชอบ (เป็นสัมมาทิฏฐิบุคคล)
(ธรรม ๑๐ อย่างนี้ เป็นคุณธรรมจริยธรรมของคนผู้เป็นคนดี ที่มีจิตวิญญาณเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา และเป็นพระพรหม) คนผู้เลี้ยงชีวิตหรือสร้างฐานะด้วยกุศลกรรมหรือความสุจริต ๑๐ อย่างนี้ ย่อมเป็นคนมีอายุ ยืน มีโรคน้อย มีผิวพรรณงาม มีศักดามาก  มีโภคะมาก เกิดในสกุลสูง  มีปัญญา (คือ มีปัญญาสัมมาทิฐิ)
(๒) อกุศลธรรมหรืออกุศลกรรม
อกุศล ธรรมหรืออกุศลกรรม แปลว่า ธรรมหรือกรรมที่ทำให้คนผู้ประพฤติปฏิบัติตามเป็นคนไม่ดีไม่ฉลาดในการดำเนิน ชีวิตให้พ้นจากภัยพิบัติ มีแต่จะให้ไปประสบกับภัยพิบัติทั้งปวง และอกุศลธรรมหรืออกุศลกรรมนั้น มีอยู่ ๑๐ อย่าง คือ
. เจตนาฆ่าสิ่งมีชีวิตและมีลมปราณ (ฆ่าสัตว์เลี้ยงชีวิตและทำเป็นสินค้า)
. เจตนาถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้แล้ว (ทุจริตทรัพย์สินมาเลี้ยงชีวิต)
. เจตนาประพฤติผิดในกามทั้งหลาย (ทำการค้ากามเลี้ยงชีวิต)
. เจตนาพูดเท็จ (รับจ้างพูดเท็จเลี้ยงชีวิต)
. เจตนาพูดส่อเสียด (รับจ้างพูดยุยงส่งเสริมให้คนแตกแยกเลี้ยงชีวิต)
. เจตนาพูดคำหยาบ (รับจ้างพูดคำหยาบคายเลี้ยงชีวิต)
. เจตนาพูดเพ้อเจ้อ (รับจ้างพูดเหลวใหลหลอกลวงเลี้ยงชีวิต)
. เจตนาคิดเพ่งเล็งผู้อื่นในแง่ร้าย (รับจ้างคิดวางแผนหลอกล่อคนสัตว์ให้หลงผิด)
. เจตนาคิดปองร้ายผู้อื่น (รับจ้างคิดวางแผนทำร้ายคนสัตว์)
๑๐. มีความเห็นผิด (เป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคล)
(ธรรม ๑๐ อย่างนี้ เป็นคุณธรรมจริยธรรมของคนผู้เป็นคนชั่ว ที่มีจิตวิญญาณเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นเดียรัจฉาน เป็นอสุรกาย เป็นอมนุษย์ และเป็นคนมาร) คนผู้เลี้ยงชีวิตหรือสร้างฐานะด้วยอกุศลกรรมหรือความทุจริต ๑๐ อย่างนี้ ย่อมเป็นคนมีอายุสั้น มีโรคมาก มีผิวพรรณทราม มีศักดาน้อย  มีโภคะน้อย เกิดในสกุลต่ำ  ไร้ปัญญา (คือ มีปัญญามิจฉาทิฐิ)
() อัพยากตธรรมหรืออัพยากตกรรม
อัพ ยากตธรรมหรืออัพยากตกรรม แปลว่า ธรรมหรือกรรมที่ทำให้แจ่มแจ้งไม่ได้ คือ เป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะผู้ปฏิบัติเท่านั้น ที่เรียกว่า วิปัสสนากัมมัฏฐาน สติปัฏฐาน ๔ มรรคมีองค์ ๘ ซึ่งมีหลักอยู่ ๔ อย่าง คือ
. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ
. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ
. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
(ธรรม ๔ อย่างนี้ เป็นคุณธรรมจริยธรรมของคนผู้ไม่ดีไม่ชั่ว ที่มีจิตวิญญาณเป็นพระอริยบุคคลทั้งหลาย ๔ จำพวก คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์) คนผู้ดำรงชีวิตอยู่ในหลักแห่งวิปัสสนากัมมัฏฐาน มีปัญญาเห็นแจ้งในอริยสัจจ์ ที่อาศัยอาหารจากผู้อื่นเลี้ยงชีวิต มีจิตวิญญาณอยู่ใน นิพพาน หรือ โลกุตตระ หลุดพ้นจากกรรมดีกรรมชั่วและพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตายไปแล้วด้วย  
() อนันตริยกรรม
อนันต ริยกรรม แปลว่า กรรมชั่วร้ายที่สุด ซึ่งพัฒนามาจากอกุศลกรรม คือ คนผู้ทำชั่วที่เป็นอกุศลกรรมธรรมดานั้น ถ้าทำมาก ทำบ่อย และทำมานาน มีเจตนาร้ายด้วยแล้ว จิตวิญญาณย่อมโหดเหี้ยม สามารถทำอนันตริยกรรม อันเป็นกรรมชั่วร้ายที่สุดได้โดยไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด มีอยู่ ๕ อย่าง คือ
. มาตุฆาต ฆ่าแม่
. ปิตุฆาต ฆ่าพ่อ
. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์
. โลหิตุปบาท ทำอวัยวะของพระอรหันต์ให้ห้อเลือด
. สังฆเภท ทำสงฆ์ (ยุยงส่งเสริมหมู่คนดีในสังคม) ให้แตกแยก
(ธรรม ๕ อย่างนี้ เป็นคุณธรรมจริยธรรมของคนผู้เป็นสัตว์นรกร้าย  เป็นเปรตร้าย  เป็นเดียรัจฉานร้าย เป็นอสุรกายร้าย  เป็นอมนุษย์ร้าย และเป็นคนมารร้าย) คน ผู้ทำอนันตริยกรรมที่ชั่วร้ายที่สุดเหล่านี้ ตอนปลายชีวิตระหว่างวัยทั้ง ๓ วัยใดวัยหนึ่ง ย่อมประสบอุปัตติภัย (อุบัติเหตุ) คือ เสียชีวิตปัจจุบันทันทีหลายรูปแบบ (ถูกแผ่นดินสูบ) บ้างก็ฆ่าตัวเอง บ้างก็ถูกผู้อื่นฆ่า บ้างก็ประสบอุปัตติภัย (อุบัติเหตุ) ทางรถยนต์ ทางน้ำ ทางอากาศ เป็นต้น เพราะแรงกรรมที่เป็นอนันตริยกรรมดึงดูดให้เป็นไปเช่นนั้น โดยไม่มีอะไรต้านทานได้.
สรุปคำสอนเรื่องคนดี เรื่อง ของคนดีคนชั่วนั้น พระพุทธเจ้าตรัสตอบคำถามของสุภมาณพแล้วว่า กรรม เป็นสิ่งที่ทำให้คนดีหรือชั่ว คือ กุศลกรรมดี อกุศลกรรมชั่ว อนันตริยกรรมชั่วร้ายมาก อัพยากตกรรมไม่ดีและไม่ชั่ว
= ประเด็นที่ ๒ ความหมายของคนดี =
คนดี หมายถึง คนผู้ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้สำเร็จ โดยมีประโยชน์ที่คนควรจะทำให้สำเร็จก่อนสิ้นชีวิตไปจากโลกนี้นั้น มีอยู่ ๓ ประโยชน์ คือ
. ทิฏฐธัมมิกัตถะ ประโยชน์ ปัจจุบัน คือ การแสวงหาลาภมีเงิน เป็นต้น ยศ สรรเสริญ สามิสสุข มาเลี้ยงชีวิตและสร้างฐานะ ย่อมแสวงหาด้วยกุศลกรรมที่ดีหรือความสุจริต ๑๐ ประการเท่านั้นจึงจะเรียกว่า ทรัพย์สมบัติเป็นประโยชน์ที่เรียกว่า มนุษย์สมบัติ แต่ถ้าแสวงหาลาภมีเงิน เป็นต้น ได้มาด้วยอกุศลกรรมที่ชั่วหรือความทุจริต ๑๐ ประการแล้ว ย่อมเรียกว่า ทรัพย์สมบัติไม่เป็นประโยชน์ คือ เป็นทรัพย์สมบัติที่มีประโยชน์ระยะแรกแต่จะมีโทษในภายหลัง ดังนั้น จึงเรียกว่า  อบายสมบัติ ไป คือ เป็นสมบัติที่มีพิษภัยร้ายแก่ผู้ครอบครองในภายหลัง
. สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์ ภายหน้า คือ การแสวงหาลาภมีเงิน เป็นต้น ยศ ความสรรเสริญ สามิสสุข มาเลี้ยงชีวิตและสร้างฐานะนั้น ย่อมแสวงหาด้วยกุศลกรรมที่ดีหรือความสุจริต ๑๐ ประการ และร่วมด้วย สัมปทา ๔ คือ สัทธาสัมปทา (เชื่อกรรมไม่เชื่ออย่างอื่น) สีลสัมปทา (ปฏิบัติให้ชีวิตเป็นไปตามศีลห้า เป็นต้น) จาคสัมปทา (เสียสละสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อศีล) และปัญญาสัมปทา (สั่งสมปัญญาสัมมาทิฐิ) จึงจะได้รับประโยชน์ภายหน้าที่เรียกว่า สวรรค์สมบัติ แต่ถ้าปฏิบัติสมถกัมมัฏฐานกับอาจารย์ผู้สำเร็จสมถกัมมัฏฐานจริง ๆ จนสำเร็จรูปฌานหรืออรูปฌานแล้ว สมบัติที่ได้เป็นฌานสมาบัติ ดังนั้นจึงเรียกว่า พรหมสมบัติ จัดว่าเป็น สัมปรายิกัตถะ คือ ประโยชน์ภายหน้าอย่างหนึ่งเช่นกัน
. ปรมัตถะ ประโยชน์ อย่างยิ่ง คือ นำชีวิตตนไปมอบกายถวายตัว ให้อาจารย์ผู้สำเร็จเป็นสัมมาทิฐิบุคคล แล้ว สั่งสอนภาคปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน สายสติปัฏฐาน ๔ มรรคมีองค์แปดจริง ๆ เราก็ปฏิบัติตามให้ได้ความรู้ผ่านวิปัสสนาญาณที่ ๑ ๑๖ สำเร็จลงที่อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ จิตใจกลายเป็นนิพพาน เป็นโลกุตตระ เรียกว่า นิพพานสมบัติ จัดว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ยิ่งกว่าประโยชน์ทั้ง ๒ ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น เพราะจิตวิญญาณพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตายแล้ว ดังนั้น จึงเรียกว่า ปรมัตถะ คือ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ยิ่งกว่าประโยชน์ทั้งสองดังที่กล่าวมาแล้วนั้น  
= ประเด็นที่ ๓ คนดีที่โลกต้องการ =
โลกด้านจิตวิญญาณ มีอยู่ ๕ โลก สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๕ ข้อ ๗๐๗ พระพุทธองค์ตรัสว่า กมฺมุนา วตฺตตี โลโก. โลก (จิตวิญญาณ) ย่อมเป็นไปตามกรรม ดังนั้น จึงแบ่งโลกของคนด้านจิตวิญญาณออกได้ ๕ โลก คือ
. อบายโลก คือ โลกของคนผู้มีจิตใจไม่เจริญ (ทำอกุศลกรรรมที่ชั่ว ๑๐ เลี้ยงชีวิต)
. มนุษย์โลก คือ โลกของคนผู้มีจิตใจสูง (ทำกุศลกรรมที่ดี ๑๐ เลี้ยงชีวิต)
. เทวโลก คือ โลกของคนผู้มีหูทิพย์ตาทิพย์ (ทำกุศลกรรมที่ดี ๑๐ มีหิริโอตตัปปะและยินดีในทานด้วย)
. พรหมโลก คือ โลกของคนผู้มีใจประเสริฐสุด (ทำกุศลกรรมที่ดี ๑๐ เจริญสมาธิด้านสมถกัมมัฏฐานด้วย)
. โลกุตตระ คือ คนผู้มีจิตใจพ้นจากโลกทั้งปวง (เจริญสมาธิด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานสายกลางจริง ๆ เท่านั้น)
คนดีสามระดับ
. คนดีระดับปรกติ คือ คนผู้ทำประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นด้วยอกุศลกรรมหรือความชั่วความทุจริต ๑๐ ประการ มีการฆ่าสัตว์มีชีวิตและฆ่าสิ่งมีลมปราณ เป็นต้น เพื่อให้ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ และสามิสสุข มาเลี้ยงชีวิตและสร้างฐานะ เนื่องจากความหลงผิดคิดว่าเป็นความดีที่เป็นกุศลกรรม ดังนั้น คนดีระดับนี้จึงเป็นคนดีเฉพาะอย่างไม่เป็นคนดีสากล ต่างคนต่างก็เห็นว่าตนและหมู่พวกของตนเป็นคนดี คนอื่น ๆ พร้อมหมู่พวกของเขาเป็นคนชั่วช้าเลวทรามไม่ดีทั้งนั้น ทำให้เกิดการแข่งดีกัน ทะเลาะวิวาท ฆ่ารันฟันแทง ขัดแย้ง ทุจริต คดโกง เอาเปรียบเอารัด มือใครยาวสาวได้สาวเอา เป็นต้น ความโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้นในสังคมโลกทุกยุคทุกสมัยก็เพราะการแข่งดีกันของคน ดีระดับปรกตินี้นี่เอง ดังนั้น ความดีระดับนี้จึงเป็นความดีที่นำไปสู่ปัญหานานาชนิด ที่สุดย่อมทำให้โลกพินาศฉิบหายได้โดยเร็วพลัน เพราะการเรียนการสอนในสถาบันต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับสถาบันครอบครัวไป ตลอดถึงระดับอุดมศึกษาทั้งโลก ต่างก็อบรมสั่งสอนกันให้เป็นคนดีตามระดับนี้ด้วยกันทั้งสิ้น (ปัญญาชนโปรดพิจารณา การเรียนการสอนในสถาบันของท่าน) จริงไหม ?    
. คนดีระดับดีกว่าปรกติ คือ คนผู้ทำประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นด้วยกุศลกรรมหรือความสุจริต ๑๐ ประการ มีเจตนางดเว้นจากการฆ่าสัตว์มีชีวิตและฆ่าสิ่งมีลมปราณ เป็นต้น เพื่อให้ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สามิสสุข มาเลี้ยงชีวิตและสร้างฐานะ เนื่องจากว่าเป็นคนดีมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ที่ตนอบรมมาดีแล้วจากสัตตบุรุษ ดังนั้น ความสงบร่มเย็น ความสมัครสมานสามัคคี ความปรองดอง ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จึงเกิดมีในสังคมของคนดีระดับที่ดีกว่าปรกตินี้ตลอด ไป โดยไม่มีการแข่งดีกัน เพราะว่าดีเสมอกันหมด สำหรับสถาบันการเรียนการสอนให้คนเป็นคนดีระดับนี้ไม่มีในโลก ใครสนใจจะเป็นคนดีระดับนี้ ย่อมแสวงหาอาจารย์ผู้เป็นสัตตบุรุษ ผู้เป็นเช่นกับพระมโหสถบัณฑิตหรือพระเวสสันดร เป็นต้น เห็นแล้วมอบกายถวายชีวิตให้ท่านอบรมสั่งสอนให้ และคนดีเมื่อดีระดับนี้แล้ว ย่อมไม่มีใบประกาศนียบัติหรือใบปริญญาบัติรับรองให้ แต่จะมีใบรับรองอยู่ที่ฟ้าดินทั้งโลกคุ้มครองเอง ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ. ธรรม (ที่เป็นกุศลธรรมหรือสุจริตธรรม) นั่นแล ย่อมรักษาคนผู้ประพฤติธรรม ความหมายในทางปฏิบัติจริง คือ ฟ้าดินนั่นเองรักษาไม่ให้ประสบภัยใด ๆ ในโลก
. คนดีระดับดีที่สุด คือ คนผู้ทำประโยชน์ตนที่เรียกว่า ปรมัตถะ อันเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง คือ อริยมรรค ๔ อริยผล ๔ รวมเรียกว่า นิพพาน ที่ตนทำให้แก่ตนสำเร็จแล้ว มีหน้าที่ทำประโยชน์ให้ผู้อื่นฝ่ายเดียววิธีการ คือ (๑) โลกัตถจริยา ประพฤติเป็นประโยชน์แก่ชาวโลก ด้วยการสอนให้เป็นคนดีมีสัมมาทิฐิ หรือมีความเห็น ชอบ (๒) ญาตัตถจริยา ประพฤติเป็นประโยชน์แก่ญาติ คือ พุทธบริษัท ด้วยการสอนให้ละเว้นอกุศลกรรมหรือทุจริตในการเลี้ยงชีวิต กระทำแต่กุศลกรรมหรือสุจริตเลี้ยงชีวิต และ (๓) พุทธัตถจริยา ประพฤติเป็นประโยชน์แก่ผู้ปรารถนาเป็นอนุพุทธ เช่นพระสารีบุตร เป็นต้น สำหรับคนดีระดับดีที่สุดย่อมมีลักษณะดังที่กล่าวมานี้
โลกต่างโลกย่อมต้องการคนดีต่างกัน
. อบายโลก  คือ โลกของคนผู้มีจิตวิญญาณไม่เจริญ ๖ เผ่าพันธุ์ มีคนสัตว์นรก เป็นต้น ย่อมต้องการยินดีต้อนรับคนดีระดับปรกติเท่านั้น เพราะคนดีระดับนี้เป็นมิจฉาทิฐิบุคคล ผู้หลงผิดเป็นชอบหรือ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ในการทำอกุศลกรรมที่ชั่ว ๑๐ เลี้ยงชีวิตอยู่ในสังคมโลก ดังนั้น อบายโลกจึงต้องการรับมาอยู่ร่วม
. มนุษย์โลก คือ โลกของคนผู้มีจิตวิญญาณเจริญสูงส่ง ย่อมต้องการยินดีต้อนรับคนดีระดับดีกว่าปรกติ เท่านั้น เพราะคนดีระดับนี้เป็นสัมมาทิฐิบุคคล มีปัญญาเห็นชอบทำกุศลกรรมที่ดี ๑๐ เลี้ยงชีวิตอยู่ในสังคมโลก ดังนั้น มนุษย์โลกจึงต้องการรับมาอยู่ร่วม
. เทวโลก คือ โลกของคนผู้มีจิตวิญญาณเป็นเทพมีหูทิพย์ตาทิพย์ ย่อมต้องการยินดีต้อนรับคนดีระดับดีกว่าปรกติเท่านั้น เพราะคนดีระดับนี้เป็นสัมมาทิฐิบุคคล มีปัญญาเห็นชอบทำกุศลกรรมที่ดี ๑๐ เลี้ยงชีวิตอยู่ในสังคมโลกและยินดีในการทำทานในกรณีที่ควรทานด้วย ดังนั้น เทวโลกจึงต้องการรับมาอยู่ร่วม
๔. พรหมโลก คือ โลกของคนผู้มีจิตวิญญาณประเสริฐสุด ย่อมต้องการยินดีต้อนรับคนดีระดับดีกว่าปรกติเท่านั้น เพราะคนดีระดับนี้เป็นสัมมาทิฐิบุคคล มีปัญญาเห็นชอบทำกุศลกรรมที่ดี ๑๐ เลี้ยงชีวิตแต่ปลีกตัวออกจากสังคมโลกไปเจริญสมาธิด้านสมถกัมมัฏฐาน เป็นการทำใจให้สงบเพื่อยังฌานสมาบัติให้เกิดให้มีขึ้นในชีวิต ดังนั้น พรหมโลกจึงต้องการรับมาอยู่ร่วม
๕. โลกุตตระ คือ คนผู้มีจิตวิญญาณบริสุทธิ์พ้นจากอบายโลก มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลกไปแล้ว โดยมีนามบัญญัติว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง พระปัจเจกพุทธเจ้าบ้าง พระอนุพุทธเจ้าบ้าง ท่านเหล่านี้ย่อมอาศัยปัจจัย ๔ จากชาวบ้านผู้ศรัทธาบริจาคทานให้เลี้ยงชีวิต ท่านผู้ดำรงชีวิตอยู่ในโลกุตตระเหล่านี้ย่อมต้องการต้อนรับคนดีระดับดีที่ สุด เช่น สัตตบุรุษและพระโพธิสัตว์เท่านั้น โดยไม่ยินดีไม่ยินร้ายในการต้อนรับมาอยู่ร่วม       
= ประเด็นที่ ๔ คุณสมบัติของคนดี =
คำว่า คุณสมบัติ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความหมายไว้ว่า คุณสมบัติประจำตัวของบุคคลดัง นั้น คุณสมบัติประจำตัวของคนดีทั้ง ๓ ระดับ คือ ดีระดับปรกติ ดีระดับดีกว่าปรกติ และดีระดับดีที่สุด ย่อมมีแตกต่างกันไป ดังมีต่อไปนี้ คือ
๑. คุณสมบัติของคนดีระดับปรกติ ๑๐ ประการ
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต เล่ม ๑๖ ข้อ ๑๓๔ ในสูตรชื่อว่า สาธุสูตร สูตรว่าด้วยสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี ความว่า...ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ไม่ดีได้แก่ -:
๑. มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด
๒. มิจฉาสังกัปปะ ความดำริผิด
๓. มิจฉาวาจา การเจรจาผิด
๔. มิจฉากัมมันตะ การทำการงานผิด
๕. มิจฉาอาชีวะ การเลี้ยงชีวิตผิด
๖. มิจฉาวายามะ ความพยายามผิด
๗. มิจฉาสติ ความระลึกผิด
๘. มิจฉาสมาธิ ความตั้งใจมั่นผิด
๙. มิจฉาญาณะ ความรู้ผิด
๑๐. มิจฉาวิมุติ ความหลุดพ้นผิด
ธรรมที่ไม่ดี ๑๐ อย่างเหล่านี้ที่มีใน สาธุสูตร (แต่คนหลงผิดย่อมคิดว่าดี) ย่อมชื่อว่าเป็นคุณสมบัติ หรือเป็นคุณธรรม เป็นจริยธรรม หรือเป็นจรรยาบรรณประจำชีวิตของคนดีระดับปรกติ เพราะคนดีระดับนี้ถูกอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่สถาบันระดับครอบครัว ตลอดถึงสถาบันการเรียนการสอนระดับอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษาปริญญาตรี โท เอก ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ดังนั้น คนดีระดับนี้จึงเรียกว่า คนดีมีปัญญามิจฉาทิฐิ คือ เป็นปัญญาระบบสุตามยปัญญา จินตามยปัญญา หรือปัญญาระบบ อวิชชา เป็นความรู้ที่ รู้มากยากนาน สิ่งที่ควรรู้กลับเป็น ไม่รู้ไม่ชี้ไปเสีย ความดีระดับนี้จัดว่าเป็นความดีต่างคนต่างดี ไม่ใช่ความดีสากล (ปัญญาชนโปรดไตร่ตรอง)  
๒. คุณสมบัติของคนดีระดับดีกว่าปรกติ ๑๐ ประการ 
สาธุสูตร สูตรว่าด้วยสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี ในสุตตันตปิฎกเล่มเดียวกัน แต่มีในตอนท้ายความว่า...ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ดีได้แก่ ;-
๑. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
๒. สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ
๓. สัมมาวาจา การเจรจาชอบ
๔. สัมมากัมมันตะ การทำการงานชอบ
๕. สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีวิตชอบ
๖. สัมมาวายามะ ความพยายามชอบ
๗. สัมมาสติ ความระลึกชอบ
๘. สัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่นชอบ
๙. สัมมาญาณะ ความรู้ชอบ
๑๐. สัมมาวิมุติ ความหลุดพ้นชอบ
ธรรมที่ดี ๑๐ อย่างเหล่านี้ที่มีใน สาธุสูตร (แต่คนหลงผิดคิดว่าไม่ดี) ตอนท้ายย่อมชื่อว่าเป็นคุณสมบัติ หรือเป็นคุณธรรม เป็นจริยธรรม หรือเป็นจรรยาบรรณประจำชีวิตของคนดีระดับดีกว่าปรกติ เพราะคนดีระดับนี้เป็นคนดีมีปัญญาสัมมาทิฐิ คือ เป็นปัญญาที่ได้จากการศึกษาอบรมมาจาก บัณฑิต ผู้เป็นสัตตบุรุษหรือเป็นพระโพธิสัตว์เท่านั้น ไม่มีสั่งสอนกันในสถาบันการเรียนการสอนทั่ว ๆ ไป ดังนั้น คนดีระดับนี้จึงจัดว่าเป็นคนดีที่มีความดีสากล (ปัญญาชนโปรดไตร่ตรอง) 
๓. คุณสมบัติของคนดีระดับดีที่สุด ๙ ประการ
สุตตันตปิฎก เล่ม ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ข้อ ๘๖๕ พระพุทธองค์ทรงตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ...ทีนั้นพวกเธอพึงตามระลึกถึงเรานี้แหละว่า แม้เพราะเหตุอย่างนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
๑. เป็นพระอรหันต์
๒. เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
๓. เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
๔. เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว
๕. เป็นผู้รู้แจ้งโลก
๖. เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นจะยิ่งไปกว่า
๗. เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
๘. เป็นผู้ตื่นแล้ว
๙. เป็นผู้จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ดังนี้
ธรรม ที่เป็นพุทธคุณทั้ง ๙ บทนี้ หรือสรุปลงใน พุทธคุณ ๓ คือ พระมหากรุณาธิคุณ พระปริสุทธิคุณ และพระปัญญาคุณ เหล่านี้นี่เองเป็นคุณสมบัติหรือเป็นคุณธรรม เป็นจริยธรรม หรือเป็นจรรยาบรรณของคนดีระดับดีที่สุด ซึ่งมีนามบัญญัติว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ และพระอนุพุทธเจ้า ๑   
= ประเด็นที่ ๕ การปลูกฝังคุณสมบัติของคนดีที่โลกต้องการ =
คำว่า ปลูกฝังคือ การฝึกฝนอบรมให้เกิดมีความดีขึ้นในตนแล้ว บำรุงรักษาความดีตามที่ตนต้องการนั้นไว้ไม่ให้ศูนย์หายไปจากตน เรียกว่าการปลูกฝัง โดยมีอยู่  ๓ วิธีการปลูกฝัง คือ
. ปลูกฝัง มิจฉาทิฏฐิ ฯลฯ มิจฉาวิมุติและอกุศลกรรมที่ชั่ว ๑๐ อย่าง ซึ่งเป็นคุณสมบัติของคนดีระดับปรกติ ด้วยการคบหรือเสพคนพาลคือ เสวนา จ พาลานังเพราะคนพาล คือ ผู้มีจิตวิญญาณท่องเที่ยวอยู่ในอบายโลก ๖ เผ่าพันธุ์มีคนสัตว์นรก เป็นต้น ย่อมต้องการอยู่ร่วมกับคนมิจฉาทิฏฐิ ฯลฯ มิจฉาวิมุติเท่านั้น เพราะมีอุปนิสัยใจคอเข้ากันได้
. ปลูกฝัง สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาวิมุติและกุศลกรรมที่ดี ๑๐ อย่าง ซึ่งเป็นคุณสมบัติของคนดีระดับดีกว่าปรกติ ด้วยการคบหรือเสพคนบัณฑิตตามหลักมงคลชีวิตว่า อเสวนา จ พาลานัง ปัณฑิตานัญ จ เสวนาคือ งดเว้นไม่คบคนพาลยินดีคบแต่บัณฑิตอย่างเดียว เพราะคนบัณฑิค คือ ผู้มีจิตวิญญาณท่องเที่ยวอยู่ใน มนุษย์โลก เทวโลก และพรหมโลก ย่อมต้องการอยู่ร่วมกับคนสัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาวิมุติเท่านั้น เพระมีอุปนิสัยใจคอเข้ากันได้
. ปลูกฝัง อัพยากตธรรมคือ วิปัสสนากัมมัฏฐาน สติปัฏฐาน ๔ สายกลางประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ซึ่งเป็นธรรมหรือกรรมที่ไม่ใช่กุศลและอกุศล ไม่ใช่มิจฉาทิฐิและสัมมาทิฐิ ที่เป็นคุณสมบัติของคนระดับดีที่สุด ด้วยการคบหรือเสพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอนุพุทธเจ้าทั้งหลาย เพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้ คือ ผู้มีจิตวิญญาณเป็น นิโรธ เป็น วิมุติ เป็น นิพพาน หรือเป็น โลกุตตระ คือ หลุดพ้นจากโลกทั้งปวงแล้ว ดังนั้น ท่านเหล่านี้ย่อมต้องการโดยว่าง ๆ เพื่ออยู่ร่วมกับคน ผู้ปฏิบัติอัพยากตธรรม วิปัสสนากัมมัฏฐานตรงตามหลักสติปัฏฐาน ๔ และสายกลางประกอบด้วยองค์ ๘ ประการจริง ๆ เท่านั้น เพราะจะเป็นผู้มีจิตวิญญาณหลุดพ้นจากโลกเหมือน ๆ กัน
= ประเด็นที่ ๖ ผู้สอนและผู้ถูกสอนจะเป็นคนดีได้หรือไม่นั้น ควรตรวจสอบดูพุทธภาษิตบทนี้ คือ
สุกรํ สาธุนา สาธุ    สาธุ ปาเปน ทุกฺกรํ
ปาปํ ปาเปน สุกรํ    ปาปมริเยหิ ทุกฺกรํ.
แปลว่า ความดีอันคนดีทำได้ง่าย ความดีอันคนชั่วทำได้ยาก ความชั่วอันคนชั่ว
ทำได้ง่าย แต่ความชั่วอันพระอริยบุคคลทำได้ยาก.
วิ. จุล. /๑๙๕, ขุ. อุ. ๒๕/๑๖๗.
มอบ เป็นของขวัญให้พุทธบริษัทและชาวโลกทุกหมู่เหล่า ด้วยกำลังความเมตตาและเอ็นดูจริง ๆ เพื่อความวิงวอนให้เกิดจิตสำนึกรู้สึกผิดชอบชั่วดีว่า ทุกครั้งทุกคราวที่เกิดโกลาหนวุ่นวายขึ้นในสังคม มีสาเหตุหลักมาจากการเสี้ยมสอน ปลูกฝัง ให้พลโลกประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นคนดีเพียงระดับเดียว คือ คนดี ระดับปรกติเท่า นั้นซึ่งไม่เป็นความดีสากลได้ แต่เป็นความดีที่ต่างคนต่างก็ว่าตนและพวกของตนเป็นคนดี เป็นความหลงผิดของมิจฉาทิฐิบุคคลเท่านั้น ท่านผู้เป็นปัญญาชนทั้งหลาย ! ที่มีอำนาจวาสนากำบังเหียรสังคมอยู่ ถ้ามีจริง ได้โปรดกรุณาสอนคนให้เป็นคนดี ระดับดีกว่าปรกติ ด้วยเถิด สาธุ

 อ้างอิงจาก  บล๊อคเกอร์  ศิษย์หลวงปู่

http://www.oknation.net/blog/sitlangpu/2011/08/01/entry-2 

ขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้

อนิจจัง อนิจจา ใครหว่า?

เชาบอกว่า ชีวิตคือการเดินทาง เรือนร่างเหมือนศาลาอาศัย

ศาลาผุพัง ชีวิตก็ต้องจากไป

สำมะหาอะไร กับเจ็ดหมื่นสามพันล้าน จะช่วยซ่อมศาลา(ร่างกาย)ได้

    เหรียญบาทสุดท้ายที่เขาเอาใส่ปาก(แม้ว)
สัปปะเหร่อ(ผม)จะควักไม่ยอมให้มันกลืน
คิดขึ้นมามันน่าขมขื่นมันเหลือผ้าสองผืนพอติดร่างกาย
แต่พอคนเผลอสัปปะเหร่อ(ผม)แอบแก้
เอาลีวายเอสแฟร์ของมันไปเที่ยวเร่ขาย
ต้องแต่งชุดเดียวกันทั้งวันเกิดวันตาย
ต้องไปนอนเปลือยกาย(ไร้ลิเดีย)อยู่บนเชิงตะกอน.....

.............................................................
   
    ถ้อยทีสาธกที่ได้ยกขึ้นมาอ้าง
ท่านที่อ่านที่ฟังก็คงจะนั่งหาว
ฉันนั่งพิมพ์อยู่นี่ก็เพื่อมุ่งบรรเทา
ให้ทุกคนหยุดเมาในเรื่องโลกีย์
   หมั่นวิจารณ์กันให้แจ่มแจ้ง
ฉันไม่ได้แกล้งมากล่าวเสียดสี
อุตส่าห์ยกสาระในพระบาลี
เอามาแยกชี้ให้ท่านได้ฟัง
   โลกียสมบัติจำต้องขาดกระจาย
เมื่อตัวเราตายจำต้องคืนทุกอย่าง
ลาภยศเงินทองมันเป็นของกลางกลาง
ไม่มีอะไรสักอย่างจะติดกายา
   มาเปล่าก็ไปเปล่าเราท่านอย่าเฝ้าอาลัย
เงินทองเอาไปไม่ได้นะแม้วจ๋า
จงยกจิตตั้งเสียในสังขารา
พิจารณาร่างกายของตน
   ดับความรักหักโทสะ
ละโมหะเสียด้วยเหตุผล
เตือนให้สำนึกรู้สึกตน
ให้เลิกกังวลในกามคุณ
   จะเกิดปัญญาค้นหาความจริง
ซึ่งมันเป็นสิ่งไม่เสื่อมสูญ
บำเพ็ญศีลทานเอาไว้เป็นทุน
ละบาปทำบุญเสียให้ชื่นบาน
  แม้วอย่าหลงพะวงแต่โลก
สุขแล้วกลับโศกไม่มีแก่นสาร
ถึงจะเมาก็ขอให้พอประมาณ
หมั่นวิจารณ์ตามเรื่องจริงจัง
  ถึงมีสมบัติบรมจักร
มีเกียรติศักดิ์อีกทั้งความมั่งคั่ง
ก็ไม่อาจซื้อหรือว่า ว่าจ้าง
องค์มัจจุรังให้รอเวลา
  พร้อมก็ต้องพรากรักก็ต้องร้าง
จำต้องห่างสเน่หา
ไม่ว่าพ่อแม่หรือว่าบุตรธิดา
ก็ไม่อาจมาที่จะช่วยป้องกัน
   ถึงคราวม้วยใครจะช่วยแม้วได้
ต่อให้เหาะขึ้นไปอยู่บนสรวงสวรรค์
ก็ยังต้องพรากลงมาจากวิมาน
เพราะว่ายมบาลท่านไม่กินสินบน(มันให้สินบนศาลจนเคยตัว)
   มนุษย์(แม้ว)ตายแน่ยาแก้ไม่มี
ตายแน่เอ็งหนีมันไปไม่พ้น
ไม่ว่าราชาหรือว่ามหาโจร
ยังต้องทิ้งกายสกนธ์เอาไว้ที่เชิงตะกอน
    ถึงห่วงสมบัติ(เจ็ดหมื่นสามพันล้าน)ก็จำต้องทิ้ง
ขาดลมลงไปกลิ้งเป็นไม้ท่อน
ไปนอนรอไฟอยู่บนกองฟอน
ขาดคู่เคียงนอนพ่อนาแม่นาย
   เมื่อตัวแม้วตายอะไรเล่าติด
กิ๊ก(เดีย)เมีย(อ้อ)ญาติมิตรเขาไปด้วยหรือไม่
รักกันปานกลืนก็ยังกลับกลาย
พอเราล้มตายเขาก็พากันกลัว
    เมื่อแรกรักกันก็ข้าวมันปลาใหม่
มันช่างน่าชื่นใจจริงหนอทูนหัว
พอแม้วล้มตายทำไมมากลัว
หรือเกรงว่าผัวจะฟื้นคืนมา
    คิดดูน่าขันเราท่านย่อมทราบ
แต่ก็ไม่เคยเข็ดหลาบกันเลยพับผ่า
ความจริงประจำก็มีอยู่ตำตา
ก็ไม่เห็นระอากันเสียบ้างเลย
    พอแม้วเป็นผีทั้งเมียทั้งกิ๊กก็มีคู่ใหม่
ลืมผีสางคนตายเสียแล้วเจ้าเอ๋ย
หากแม้วไปเกิดเป็นเปรตก็ไม่มีคนสังเวย
ตรุษสารทก็ไม่เคยที่จะได้กินอะไร
     ผีหลอกคนเป็นก็เคยเห็นมากมี
แต่ว่าคนหลอกผีดูซิมาเป็นไปได้
พอแม้วสิ้นลมลงไปล้มนอนตาย
ทั้งกิ๊กทั้งเมียมันจะมาร้องไห้อยู่สักกี่วัน
   พอน้ำตาแห้งนวลแป้งก็ขึ้นมาแทน
ก็เริ่มจะมองหาคนแทนด้วยความเพ้อฝัน
พอพบมิตรใหม่คนม่ายก็ตกมัน
หล่อนก็มายึดคำมั่นว่า หย่าแล้วจ้า...........โสดจ้า......อดีตฝาละมีตายแล้วจ้า........กำลังหาใหม่จ้า...........

องค์การเอกชน กลุ่มพลังหนุ่มสุวรรณศร-สระบุรี เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย

องค์การเอกชน กลุ่มพลังหนุ่มสุวรรณศร-สระบุรี เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย

เป็นองค์การเอกชนที่ไม่เป็นนิติบุคคล ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดสระบุรี โดยมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้.

  1. การ ให้การศึกษาแก่ประชาชนเกี่ยว กับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้แก่ การอบรมให้ความรู้ การจัดประชุมสัมมนาการจัดเวทีเสวนา การรณรงค์เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับประชาธิปไตย การเมืองการปกครอง รัฐธรรมนูญ การเลือกตั้ง ระบบพรรคการเมือง การปกครองท้องถิ่น แก่ประชาชนโดยทั่วไป
  2. การ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการ เมืองของประชาชน โดย การส่งเสริมให้ประชาชนจัดกิจกรรม จัดตั้งกลุ่ม องค์กร เครือข่าย ให้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองและการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา และการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
  3. การ ช่วยเหลือตรวจสอบการเลือกตั้ง เพื่อป้องกันการทุจริตในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ได้แก่
  • การรับแจ้งเหตุ เป็นการรับแจ้งเหตุการณ์จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้สมัคร พรรคการเมือง อาสาสมัคร หรือบุคคลใด ในเรื่องเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้สมัคร พรรคการเมือง อาสาสมัครหรือบุคคลใด กระทำการอันอาจเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.๒๕๕๐ พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๔๕ หรือกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
  • การสำรวจค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง เป็นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของผู้สมัครแต่ละคนที่ใช้จ่ายในการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี และค่าใช้จ่ายของพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครแต่ละพรรคที่ใช้จ่ายในการเลือก ตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
  • การสอดส่องและสังเกตการณ์เพื่อป้องกันการทุจริต เป็นการสอดส่องเพื่อป้องกันการทุจริตในการเลือกตั้ง การสังเกตการณ์การหาเสียง ของผู้สมัครพรรคการเมือง หรือบุคคลใด ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี การสอดส่องเพื่อป้องกันการทุจริตการลงคะแนน การนับคะแนน และการประกาศผลการนับคะแนน ในการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี

องค์การเอกชนที่ช่วยเหลือ สนง.กกต.จว.สระบุรี



        จังหวัดสระบุรี  ได้มีองค์การเอกชนช่วยเหลือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด สระบุรี  จำนวน  4  องค์กร  ประกอบด้วย

  • 1. สมาคมผู้นำอาสาพัฒนาชุมชนไทย    รับรองจาก  สนง.กกต.
  • 2. กลุ่มพลังหนุ่มสุวรรณศร-สระบุรี
     เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย                  รับรองจาก  สนง.กกต.จว.สบ.
  • 3. องค์การช่างเทคนิคในอนาคต
     แห่งประเทศไทย  หน่วยวิทยาลัย
     เทคนิคสระบุรี                                  รับรองจาก  สนง.กกต.จว.สบ.
  • 4 เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพและ
     พัฒนาสังคมภาคประชาชน
     จังหวัดสระบุรี                                  รับรองจาก สนง.กกต.จว.สบ.