วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คนเสื้อแดงไม่ใช่คนที่ควรถูกประนาม แต่เป็นคนที่เราต้องให้ความช่วยเหลือ อย่างเร่งด่วน

คนเสื้อแดงส่วนใหญ่แล้วมาจากสังคมส่วนที่อยู่ล่างสุดของประเทศไทย คือ ประชาชนในส่วนภูมิภาค คนกลุ่มนี้มีความคิดที่ไม่แปลกครับ เป็นความคิดที่เข้าใจง่าย ถ้าเราจะลองเข้าไปเรียนรู้ดูสักหน่อย แต่สิ่งที่ยากคงจะเป็นการพยายามเปลี่ยนแนวความคิดนั้น

เพราะสังคมในส่วนภูมิภาคอันห่างไกลนั้น การได้รับข่าวสารล้วนมาจากแหล่งข้อมูลเดียวกันคือ การกระจายเสียงภายในวงแคบ เช่น วิทยุชุมชน หอกระจายเสียงของหมู่บ้าน หรือ การพูดกันปากต่อปาก นี้เป็นการปลูกฟังความคิดที่ง่ายที่สุด เพราะเมื่อไหร่ที่เรารับรู้ข้อมูลข่าวสารจากแหล่ใดแหล่งหรือ อย่างผูกขาด นั้นก็เป็นเสมือนการตัดขาดข่าวสารอื่นๆเพื่อการเปรียบเทียบ หรือการวิเคราะห์ เราจึงเห็นการผูกขาดของนักการเมืองท้องถิ่นในกิจการส่วนนี้ เพื่อหวังผลเฉพาะประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น

ผมอยากจะขอร้องพวกเราที่สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้หลากหลายกว่า อย่าได้กล่าวโทษประชาชนในส่วนภูมิภาคเหล่านี้เลย เพราะถ้าเป็นผม การที่เสพย์ข้อมูลเหล่านั้นตลอดเวลา ผมก็คงมีความคิดไม่ต่างจากนั้นมากนัก

แต่ที่เป็นสาเหตุจริงๆที่ทำให้ประชาชนส่วนนี้มีความเชื่ออย่างแนบแน่นอย่างนั้นก็คือ การเกิดปัญหาในช่วงปี พ.ศ. 2540 วิกฤตเศรษฐกิจที่เรียกได้ว่าใหญ่มากที่สุดตั้งแต่มีการเปิดประเทศ ระบบเศรษฐกิจล้มสลายเกือบ 2 ใน 3 ของประเทศ โรงงานอุตสาหกรรมลดความต้องการแรงงานมากกว่า 1 ล้านชีวิต และโดยส่วนใหญ่แล้ว แรงงานเหล่านี้ส่วนมากล้วนมาจากแหล่งเดียวกันคือ ประชากรในเขตภูมิภาค

แรงงานเหล่านี้ต้องแบกภาระเรื่องหนี้สินมากมาย บางคนถูกธนาคารยึดบ้าน ยึดรถ ครอบครัวแตกแยก แบกความอับอายกลับสู่บ้านเกิด สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริงครับ บางคนสูญเสียจิตวิญญาณ บางคนท้อแท้จนไม่สามารถทำอะไรได้เลย

บวกกับปัญหาในครั้งนั้นมีมากกว่าเรื่องการเงิน แต่เป็นจุดเริ่มของปัญหาสังคมต่างๆมากมายโดยเฉพาะเรื่องของยาเสพย์ติด และ โจรผู้ร้าย เสมือนเป็นการซ้ำเติมคนที่ผิดหวังและตอกย้ำความล้มเหลวของคณะผู้ปกครองในยุคสัมยที่ตามมาด้วย

เราควรจะกล่าวโทษคนเหล่านี้หรือครับ

สำหรับผมแล้วไม่ครับ ผมเข้าใจและเห็นใจ

ประชาชนในกลุ่มนี้พยายามรอความหวัง ท่านเชื่อหรือไม่ครับ เขาเฝ้ารอความหวัง ทั้งครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง เพราะสังคมนี้คือสังคมของครอบครัวใหญ่ สิ่งที่เกิดกับลูกหลานของเขาคือความเป็นจริงที่พวกเขารับรู้ด้วยความรู้สึก ขอย้ำว่าด้วยความรู้สึกครับ

ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2545-2548 เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวเนื่องจากหยุดนิ่งมานาน มันเป็นความปกติของระบบโลกครับ ช่วงนั้นเป็นจังหวะที่ดีครับ ประชาชนที่เฝ้ารอความหวังเริ่มรู้สึกแล้วว่ารัฐบาลในช่วงนั้นสามารถให้สิ่งที่พวกเขาเฝ้ารอได้ สิ่งนี้เป็นความผิดของพวกเขาหรือครับ ผมคิดว่าไม่ครับ เวลานั้นพวกเราส่วนใหญ่รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เพราะไม่มีใครให้ความรู้เรื่องระบบเศรษฐกิจโลกกับพวกเขาครับ พวกเขาได้รับข้อมูลเพียงแค่ รัฐบาลทำงานในช่วงนี้ สามารถให้สิ่งที่หวังได้

และสิ่งที่รัฐบาลจับทางได้คือ การเพิ่มแหล่งเงินทุนเข้าไปในกองทุนหมู่บ้านสิ่งนี้เกิดได้อย่างถูกจังหวะครับ ประชาชนต้องการแหล่งเงินทุน แต่เหล่าธนาคารต่างปฏิเสธการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ที่เคยเป็นผู้ใช้แรงงานที่ตกงานเพราะมีประวัติเครดิตที่เสีย นี้คือ สิ่งกระตุ้นความรู้สึกถึงความเสื่อมล้ำกันของสังคม จึงมีคำศัพท์ที่ว่า กลุ่มอำมาตย์และไพร่

ประกอบกับในช่วงปี พ.ศ.2550-2552 เศรษฐกิจโลกตกต่ำอีกครั้ง เป็นช่วงเวลาที่แย่สำหรับรัฐบาลในช่วงเวลาดังกล่าว เพราะนี้คือการตอกย้ำความคิดของประชาชน และเมื่อมีการกระจายข่าวสารที่เป็นการเติมเชื้อเพลิงของความเชื่อให้แรงมากขึ้น เหตุการณ์เมื่อปลายปี พ.ศ.2552-2553 จึงเกิดขึ้น

สิ่งที่สมควรโทษคือ การล้มเหลวของการให้ความรู้ การให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง จากหน่วยงานรัฐบาลในช่วงเวลานั้น ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ยากครับสำหรับการเปลี่ยนแนวความคิดของประชาชนที่ถูกปลูกฝังมานานนับ 10 ปี แต่นี้คือหนทางเดียวที่จะช่วยเหลือพวกเขาครับ แม้จะเป็นงานที่ยากและอาจจะถูกต่อต้านในช่วงแรก แต่เราก็จำเป็นต้องทำ

ครั้งหนึ่ง ในพื้นที่ราบสูงของภาคเหนือของประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพทำไร่ ปัญหาเรื่องของการตัดไม้ทำลายป่า เพื่อทำไร่เลื่อนลอยจึงเกิดขึ้น และ พร้อมกันนั้นปัญหาการปลูกฝิ่นก็เกิดขึ้นตามมา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเสด็จเพื่อขึ้นไปเยี่ยมเยือนประชาชนของพระองค์ ในพื้นที่เหล่านี้ พื้นที่ที่ไม่เคยมีนักการเมืองคนใดในประเทศเคยขึ้นไปดูแล เพราะองค์ทรงเข้าไปเห็นสภาพของปัญหาเหล่านั้น แม้ว่าพระองค์จะมีกำลังทหารเพื่อทำการปราบปรามแต่พระองค์ก็เลือกที่จะใช้กองกำลังนั้นเพื่อการป้องปรามมากกว่า

พระองค์ทรงทุ่มเทจิตวิญญาณและความรู้ความสามารถ เพื่อเข้าไปยังพื้นที่ที่เป็นปัญหาอย่างต่อเนื่องแม้บางครั้งจะถูกต่อต้านอย่างแรงก็ตามที่ พระองค์ก็ไม่เคยย่อท้อในสิ่งที่เป็นปัญหานั้น เพียงเพราะว่าประชาชนของพระองค์ต่อต้าน แต่กลับเป็นความเข้าใจและเริ่มให้มีการตั้งศูนย์วิจัยโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆมากมาย จุดมุ่งหมายก็เพื่อการกระทำให้เป็นแบบอย่างที่สามารถมองเห็นได้ นี้คือการให้ความรู้ที่สามารถเข้าใจได้ด้วยการลงมือปฏิบัติให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม

การที่พระองค์ทรงใช้ระยะเวลานานนับ 30ปี ก็เพื่อต้องการทำให้ประชาชนของพระองค์เข้าใจในสิ่งที่ต้องการพยายามสื่อสาร ความเชื่อไม่สามารถเลื่อนหายไปได้ในระยะเวลาอันสั้น นี้คือสิ่งที่เป็นความจริง พระองค์ทรงเข้าใจในส่วนนี้ ด้วยพระอัจฉริยะภาพของพระองค์เอง ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า การปลูกฝิ่น จึงค่อยๆหมดหายไปจากสังคม

แนวทางในการทรงบำเพ็ญคุณประโยชน์เพื่อประชาชนของพระองค์ นั้นล้วนมาจาก การเข้าถึงประชาชนของพระองค์ เพื่อที่จะทรงเข้าใจในสิ่งที่ประชาชนคิด และรู้สึก เพื่อการวางแผนสำหรับการพัฒนาตามความเหมาะสมและตรงจุด



พวกเราผู้ที่เป็นประชาชนของพระองค์ ควรจะน้อมนำมาเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต และนี้คืออีกตัวอย่างที่พวกเราจะสามารถนำไปใช้กับกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีความหลงผิดได้

อย่าโทษในความคิดของคนเสื้อแดง สิ่งที่เราต้องทำให้มากคือ เข้าไปอยู่ท่ามกลางพวกเขา เพื่อไปอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ด้วยข้อมูลที่หลากหลายสำหรับการวิเคราะห์ แต่ขอย้ำว่า อย่าลืมสิ่งที่เราต้องกระทำ อย่าท้อแท้และหมดหวัง เพราะถ้าสิ่งที่เราตั้งใจทำนั้นมันสามารถช่วยเหลือกลุ่มคนเหล่านี้ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น