วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

วิพากษ์เปรียบเทียบแบบบ้านๆ..นักวิชาการ........นักการเมือง...ชาวบ้าน..

ประชาธิปไตยบ้องตื้นกับประเทศไทยที่กำลังล่มสลาย......

18 ก.ย.54ปรากฎการณ์การนำเสนอประเด็นของกลุ่มนักวิชาการที่เรียกชื่อตัวเองว่า “คณะนิติราษฎร์” จุดพลุลูกใหญ่ที่ระเบิดขึ้นกลางอากาศ จะลบจะล้างสิ่งใดก็แล้วแต่หลังจากรัฐประหาร แต่การจุดพลุลุกนี้มันเปล่งแสงสีออกมาชัดเจนมาก จนแยกสีกันออกมาได้ว่าสีใดเปล่งประกายเจิดจ้า สีใดที่ถูกกลบลบเลือนไปบ้าง จริงๆแล้วการนำเสนอท่าทีเช่นนี้ของนักวิชาการ มีบ่อยครั้งแล้วแต่มุม แล้วแต่ตรรกะวิธีคิด ความเชื่อ หรืออุดมคติที่มี ที่ถูกปลูกฝังมาด้วยมโนวิธีใดๆก็แล้วแต่ เพียงแค่ว่าสิ่งที่นำเสนอออกมานั้นจะโดน หรือไม่โดนเท่านั้น ข้อเขียนวิพากษ์เรื่องนี้ขอออกตัวก่อนว่าเป็นการมองด้วยแว่นแบบไม่มีเลนซ์ให้เมื่อยตา เมื่อยประสาท

“นักวิชาการ” ถูกยกขึ้นหิ้งมาแต่ไหนแต่ไรในสังคมไทย ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการให้เกียรติเสียมากกว่าที่จะทรงคุณค่าทางด้านวิชาการโดยแท้ นักวิชาการทุกคนเป็นเพียงแค่ “มนุษย์”คนหนึ่งที่ยังหนีไม่พ้นทฤษฎีความต้องการของมนุษย์ทั้ง 5 ประการ เพียงแต่การก้าวเข้าสู่ความเป็นนักวิชาการนั้นมีหนทางที่ต้องอยู่กับตัวหนังสือที่สืบทอดกันมา เล่าต่อกันมา หรือถ้าพูดตามนักวิชาการคือ ทฤษฎี ที่บอกว่าเป็นการศึกษาและพิสูจน์ซ้ำๆมาแล้วจนยอมรับว่ามันเป็น “ทฤษฎี” ได้

สังคมไทยในปัจจุบัน หลายคนโหยหาความเป็นวิชาการที่ถูกนำเสนอมาแล้วตรงกับ “วิธีคิด” หรือ “ความเชื่อ” ของตัวเองนักวิชาการเหล่านั้นจะได้รับการยอมรับ แต่ถ้าบังอาจนำเสนอสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์อยู่ตรงข้ามกับความคิดของตัวเอง จะถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ “ไร้เหตุผล” สิ้นดี ข้อสังเกตอย่างหนึ่งของการนำเสนอให้กับสังคมนั้นล้วนแต่ถูกพิจารณา บนโต๊ะทำงานที่มีหนังสือรายล้อม แอร์เย็นฉ่ำ อยู่ในห้องแคบๆเท่านั้น เป็นโลกแห่งมายาคติในทางวิชาการ เสมือนการเพ้อฝันว่ากำลังอยู่ในสังคมแห่งยูโธเปีย และไม่เคยสำนึกเลยว่า “ยูโธเปีย”แห่งนั้นมันไม่เคยมีอยู่จริงในโลกผุๆใบนี้

“นักการเมือง” ไม่ต้องมองที่ไหนเอาเป็นนักการเมืองไทยนี่แหละครับ ปัจจุบันกำลังถูกแบ่งออกเป็น 3 ขั้วอย่างชัดเจน ต้องยืนยันว่าแบ่งออกเป็น 3 ขั้ว คือ 1.ขั้วท่วงทำนองแบบประชาธิปัตย์ 2.ขั้วดุเดือด ดุดันแบบเพื่อไทย และ 3.คือขั้วที่เป็นรัฐบาล(เท่านั้น) ไม่ต้องอธิบายความกันมากว่า “นักการเมือง”ยุคนี้กำลังถูกกงล้อของทุนสามานต์ เข้ามาเบียดบดจนบทบาทของนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ในอุดมคติที่ไม่เคยมี แม้ว่าจะพยายามไฝ่หาคล้ายกับว่ายิ่งหามันยิ่งห่างออกไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้จบ ยิ่งมาอยู่ในยุคการผสมข้ามสายพันธ์ของทุนนิยมสามานต์กับคอมมิวนิสต์กลายพันธ์แล้ว ผลผลิตที่ออกมาอย่างที่เห็นในสังคมไทยถึงความ “จัญไร”ที่ทวีความยิ่งใหญ่เพิ่มขึ้นทุกวัน

“ชาวบ้าน” ผมกล้าพูดได้เต็มปากเพราะมีความเป็น “ชาวบ้าน”อย่างเต็มเปี่ยวปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมแบบบ้านๆ หรือชาวบ้านนับวัน “นักการเมือง” คือผู้ที่สร้างความแตกแยกให้กับชาวบ้าน จากเดิมสังคมแบบชาวบ้านเต็มไปด้วยความเกื้อหนุนการช่วยเหลือ สังคมที่ยิ้มแย้ม หลายเป็นสังคมที่หวาดระแรง แตกแยก สังคมชาวเมืองเหนือ มีแต่รอยยิ้ม ความนุ่มนวล อบอุ่น เชื่อมั่น สังคมชาวอีสานเต็มไปด้วยความจริงใจ เอื้ออาทรณ์ต่อกัน สังคมชาวใต้ เต็มไปด้วยความหวาดระแวงผู้ปกครอง แต่ยังมีความเป็นชาวใต้คือการเอาจริงเอาจัง และเป็นนักวิเคราะห์ ส่วนชาวกรุงเป็นพลังที่ซ่อนเร้น

แต่สิ่งที่แตกต่างกับนานาอารยะประเทศ ชาวบ้านหรือประชาชน จะใช้นักการเมืองเป็นเครื่องในการพัฒนาแสวงหาประโยชน์เพื่อสาธารณะจากทรัพยากรที่มีในประเทศ แต่ในประเทศไทยเป็นมุมที่แปลกประหลาด “นักการเมือง” สามารถใช้ชาวบ้านเป็นเครื่องมือในการเข้าสู่อำนาจ เข้าสู่ผลประโยชน์ ซึ่งเป็นหนทางที่กลับกันอย่างเห็นได้ชัด และแทนที่ “รัฐ” หรือ “นักการเมือง”จะปกป้องช่วยเหลือชาวบ้าน กลับกลายเป็นเรื่อง “กลับตาลปัด”ไปหมด

“ประชาธิปไตย” นักการเมืองหลายคน ใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” เป็นเครื่องมือให้ได้มาซึ่งอำนาจและ ผลประโยชน์ ทำให้ทฤษฎี “การเมือง” ผิดเพี้ยนไปมาก ตามทฤษฎีนี้บอกว่า การเมืองคือการจัดสรรค์ผลประโยชน์สาธารณะอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม แต่การเมืองแบบไทยๆ ประชาธิปไตยแบบไทยๆนั้นเอาแค่ว่า “ครอบครัวกู พี่น้องกู พรรค-พวกกู กูเท่านั้นที่ถูก กูได้ประโยชน์คือยุติธรรม กูเสียประโชน์คือไม่ยุติธรรม” ซึ่งในคำว่าประชาธิปไตยนี้ ขอยกเอาการธรรมวิเคราะห์การเมืองประชาธิปไตยของ ท่านพุทธทาส อินทปัญโญ มาเป็นอรรถาธิบายแทนคือ

“การเมือง คือสิ่งที่ตั้งจากฐาน อยู่นความทะเยอทะยาน ในการอยู่เติบ กินเติบ หรือความมัวเมาในความสุข ทางเนื้อหนังโดยปราศจากการนึกถึงโลกหน้า พระเป็นเจ้า และความตาย และมีอำนาจเป็นความถูกต้อง และประโยชน์ของตนเป็นความยุติธรรม และเป็นของใหม่เพิ่งเกิดขึ้นในโลก เมื่อเกิดปราถนาการอยู่เติบกินเติบกันขึ้นมาแล้วเท่านั้น”

“เผด็จการ กับประชาธิปไตยจึงไม่มีความหมายอันแตกต่างอะไรกัน เพราะเป็นการจัดเพื่อให้ฝ่ายของตน ได้มาซึ่งการอยู่เติบ กินเติบนั่นเอง แหละประชาธิปไตยนั้นเมื่อถึงคราวที่จะแสดงบทบาทอันจริงจังขึ้นมา ก็ได้มอบกำลังและอำนาจให้ใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง มีอำนาจเด็ดขาด และนั่นก็คือ เผด็จการนั่นเอง แล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปตามอำนาจกิเลศของผู้มีอำนาจ จึงเห็นได้ว่าที่แท้นั้น ก็คือกิเลศาธิปไตยต่างหาก ที่บังคับกลุ่มชนให้เป็นไป”...........

ไม่ว่าใครในประเทศไทย ตอนนี้ที่อ้างเอาประชาธิปไตย มาปลุกเร้าปลุกระดม แท้จริงแล้วมันก็เพื่อความอยู่เติบกินเติบทั้งนั้น ชาวบ้านที่ไปเป็นเครื่องมือนั้นได้อะไรนอกจากกลับบ้านแล้วไปอยู่กับท้องนา วัวควาย หาเช้ากินค่ำกันเหมือนเดิม ส่วนนักประชาธิปไคยเงินเดือนกว่า 1 แสนบาท เบี้ยใบ้รายทาง เงินนอกเงินในอีกไม่รู้จะเท่าไหร่

นักประชาธิปไตย ไทยทั้งหลายไปดูเถอะครับไม่มีใครที่ฐานะจนๆสักรายล้วนแต่เมื่อเปิดบัญชีออกมาหลายสิบล้านขึ้นไปทั้งนั้น

ส่วนประเทศไทย...ที่เคยมีสิ่งสวยงามทั้งศิลปะ วัฒนธรรม ตั้งแต่โบราณ ผู้คนที่มีน้ำใจ มานับร้อยนับพันปี ตอนนี้นอกจากธรรมชาติ กำลังลงโทษคนทั้งประเทศแล้ว ทุกระบบกำลังถูกทำลายเพื่อสถาปนาระบอบใหม่ ประเทศไทยใหม่ ประเทศไทยแบบที่เราเคยเรียนรู้และอยู่กับมันมาชั่วชีวิตกำลังเปลี่ยนไป ผู้คนกำลังกลายเป็นทาสเงินตรา ประเทศไทยทุกอย่างซื้อได้ครับ (ถ้ามีเงินเพียงพอที่จะซื้อ)แล้วมันจะไม่ล้ม... ล่มได้อย่างไร./////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น