วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ภาพลวงตากับ "เพศหญิง" ของ "ยิ่งลักษณ์" (เส้นใต้บรรทัด)

ภาพลวงตากับ "เพศหญิง" ของ "ยิ่งลักษณ์" (เส้นใต้บรรทัด)
เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วครับ ที่ "นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ว่าที่นายกรัฐมนตรี น้องสาวทักษิณ ชินวัตร ออกมาปฏิเสธว่า "ทักษิณไม่เกี่ยวข้องกับการตั้งคณะรัฐมนตรี"

เธอพูดคำนี้ด้วยใบหน้าแสนซื่อ แต่ใครเชื่อคำพูดทำนองนี้ของเธอบ้าง

เพราะในขณะที่เธอปฏิเสธหนแล้วหนเล่าว่า ทักษิณไม่เกี่ยวอะไรเลย กับเรื่องโน้น กับเรื่องนี้ พวกแกนนำเสื้อแดงก็ดี พวกที่กระสันอยากจะเป็นรัฐมนตรีก็ดี นายทุนพรรคก็ดี อดีตนายกฯก็ดี ต่างแปลงร่างเป็นแมลงวัน บินข้ามหัวเธอ เหมือนบินข้ามไม้เช็ดก้นไปตอมที่กองขี้โดยตรง นั่นคือ ต่อสายตรงคุยกับทักษิณบ้าง หรือบินไปหาทักษิณด้วยตัวเองบ้าง

เห็นใจเธอจริงๆ ครับว่า เธอจะต้องเล่นละครฉากที่ผู้คนเหยียดหยัน เห็นขัน และรู้สึกถึงความไม่ตรงไม่ซื่อแบบนี้อีกกี่ฉาก ละครจึงจะจบ

และก็เพราะเรื่องนี้แหละครับ ที่ทำให้เมื่ออ่านข้อความในคอลัมน์ "คุณแหน" ซึ่งเป็นคอลัมน์อ่านประจำของผม ในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่เขียนว่า "...วุฒิฯสตรี กีรณา สุมาวงศ์ เปิดโอกาสให้นายกฯหญิงแสดงผลงานก่อนจะวิจารณ์...ส่วนตัวเป็นปลื้มที่ได้ ผู้หญิงเป็นนายกฯครั้งแรกของไทย โดยเฉพาะผลสำรวจ 'สตรีคอร์รัปชั่นน้อยกว่าผู้ชายเพราะละอายต่อบาปและเชื่อในเวรเองกรรม'..." แล้วอดสะอึกไม่ได้

มีคนบริโภคสินค้า "ความเป็นผู้หญิง" ตามแผนของพวก "กุนซือตึกสูง" ที่อยู่ข้างหลังยิ่งลักษณ์อีกชั้นหนึ่งเข้าเต็มรัก

การส่งยิ่งลักษณ์ลงสู่สนามเลือกตั้ง สร้างความแปลกใหม่ให้การเมืองมิใช่น้อย เพราะเธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่มีโอกาสก้าวสู่ตำแหน่งนายกฯ เธอนุ่มนิ่ม ยิ้มมาก และพูดน้อย เท่าที่พูดได้ ก็มักวกไปวนมา แล้วกลับมาหาประโยคเดิมๆ ที่จำได้ เช่น ปรองดอง, ให้ถึงเวลาก่อน, คืนความเป็นประชาธิปไตย, แก้ปัญหาเศรษฐกิจ พวกนี้เป็นต้น

เธอไม่ต่อปากต่อคำกับใคร ไม่ขยายแผล หรือตั้งตนเป็นอริ

อะไรที่ตอบไม่ได้ เธอก็เพียงแต่ยิ้ม และบอกสั้นๆว่า รอให้ถึงเวลา หรือรอให้กรรมการบริหารพรรคให้ความชัดเจนดีกว่า เพราะเธอไม่ใช่หัวหน้าพรรค

ตกลง การส่งยิ่งลักษณ์ ทำให้ปัญหาเรื่องเผาบ้านเผาเมือง กลายเป็นเรื่องที่ไม่ควรถาม ไม่ควรตอบ ไม่ควรพูดถึง เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่อง "รังแกผู้หญิง"

ปัญหาเรื่องขบวนการล้มเจ้าก็ต้องพักไว้ เรื่องทักษิณป้ายสีกระบวนการยุติธรรมไทย เรื่องขบวนการแดงทั้งแผ่นดิน โรงเรียน นปช. และแม้แต่เรื่องให้การเท็จกับ คตส. และเบิกความเท็จต่อศาล ยังต้องรู้จักหุบปาก เพราะถามแล้ว "รังแกผู้หญิง" ชื่อยิ่งลักษณ์หนักเหลือเกิน

ผมคิดว่า การมองบ้านมองเมืองในเวลานี้ เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งและเลยล้ำจากความเป็นผู้หญิงของยิ่งลักษณ์ไปอย่างมากมาย

มันเป็นเรื่องของ "ศักยภาพ" ไม่ใช่ "เพศ"

มันเป็นเรื่องของ "มนุษย์สุจริต" มากกว่าจะมาติดที่ความเป็นบุรุษหรือสตรี

อย่ายอมให้เขาเอา "ผู้หญิงบังหน้า"

หรือเราเองอย่าได้เลือกเอา "ความเป็นสตรีเพศมาบังตา" จนตามไม่ทัน "แนวรบที่ซ่อนอยู่ข้างหลังของเธอ" จะดีที่สุด

แน่นอน ผมเอาใจช่วยยิ่งลักษณ์ เพราะเธอมีส่วนกำหนดอนาคตของชาติว่า จะให้ดีหรือเลว รุ่งเรืองหรือเสื่อมทรุดกว่าที่เป็นอยู่ได้ การเอาใจช่วยเธอ ดูจะสร้างสรรค์กว่าการสาปแช่งก่นด่า ในเวลาที่เธอยังไม่ได้นำอำนาจรัฐและเงินหลวงไปบริหารหรือล้างผลาญอะไรให้ เห็น แต่ไม่ได้แปลว่า จะละสายตาหรือเพิกเฉย ปล่อยเลยตามเลย ให้เธอกับพวกทำอะไรกับบ้านกับเมืองก็ได้ แล้วอีกสี่ปีค่อยว่ากันใหม่ มาลงโทษด้วยการไม่เลือกพวกเธอ

ผมไม่สนหรอกว่า สุดท้ายแล้ว ยิ่งลักษณ์จะเป็นวีรสตรีหรือนักโทษหญิง แต่ชะตาของบ้านเมืองต้องไม่ผูกติดกับชะตาชีวิตของตัวบุคคล หรือ"นางนกต่อ" ล่อคะแนนเลือกตั้ง

ถึงไม่มี "ใจที่ผูกติดไว้" กับตัวคน แต่ก็ไม่ "เอาใจออกห่าง" จากประเทศชาติ

ความชอบ-ไม่ชอบ เชื่อ-ไม่เชื่อ ศรัทธา-ไม่ศรัทธาในตัวบุคคลเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การให้เกียรติต่อระบบ มีศรัทธาต่อระบบ มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนระบบ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งอารยชนพึงจำแนกแยกแยะ

ผมคิดว่า การเมืองที่ผลักไส "ลูกผู้หญิงคนหนึ่ง" มาเดินบังอยู่ข้างหน้า แต่ซ่อนกองทัพที่มีมวลชนบ้าคลั่ง กองกำลังติดอาวุธที่ไม่เคารพกติกา นักโทษ ผู้ต้องหา และนายทุนไร้ศีลธรรมอยู่ข้างหลังนั้น อำมหิตและน่ากริ่งเกรงที่สุดต่อบ้านต่อเมืองของเรา ซึ่งก็ต้องคิดกันต่อไปด้วยว่า ผู้หญิงที่พลีตัวมาเดินบังอยู่ข้างหน้า เราควรนึกคิดกับเขาอย่างไร

ขณะที่ยิ่งลักษณ์เล่นบทบ้องแบ๊ว ธิดา ถาวรเศรษฐ์ และ นปช. อีกหลายกลุ่ม ก็เล่นบทข่มขู่ กดดัน กกต. ให้รีบรับรอยิ่งลักษณ์และแกนนำ นปช. ทั้งหลาย ในบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ให้มีสภาพ ส.ส. เพื่อนำไปสู่การเปิดประชุมสภา ให้มาซึ่ง "สิทธิคุ้มกัน" และประโยชน์อื่นๆ อีกสารพัด ยิ่งลักษณ์ ซึ่งน่าจะอยู่ในฐานะคล้ายกับเป็น "จ่าฝูง" หรือ "เจ้าของหมา" ก็ไม่เคยหันไปดุลูกฝูงให้หยุดขู่กรรโชก เพื่อรักษาหลัก "นิติรัฐนิติธรรม" อย่างที่เธอเคยพูดตลอดเวลาในการหาเสียงเลย กลับทำทีเหมือนเป็นคนละพวก คนละฝูง ซึ่งคนเขาอดรู้สึกไม่ได้ว่า เวลามีประโยชน์ร่วมรับ แต่เวลามีโทษมักจะทำไม่รู้ไม่ชี้

ผมคิดว่า ยิ่งลักษณ์ยอมให้หลายชายใช้มายาภาพของความเป็น "ผู้หญิง" มากลบเกลื่อนหลายสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง

ขณะที่เธอตีหน้าซื่อ อ่านโพยเสียงหลงว่า "เราจะสังคายนาพระพุทธศาสนา" มันก็น่ากริ่งเกรงใช่ไหม ว่าไอ้คนที่เขียนโพยให้ มันคิดอะไรอยู่ และจะทำอะไรกับพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ยังไม่รวมถึงการแก้รัฐธรรมนูญ และกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เสื้อแดงฮึ่มๆ จะยกเลิก หรืออย่างน้อยๆ ก็แก้ไข จำนวนหนึ่งเป็นเสื้อแดงที่อยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคที่ยิ่งลักษณ์ออกหน้า เดินนำ

เมื่อเธอตะเบ็งเสียงหลงแข่งกับสายฝน ประกาศนโยบายที่จะทำทันทีว่า ค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ, เงินเดือนตามวุฒิปริญญาตรี เริ่มต้นที่ 15,000 บาท,แจกแทบเล็ต พีซี ให้เด็ก ป.1 ปีการศึกษาหน้า, ถมทะเลอ่าวไทย, จะกระชากค่าครองชีพลงมา โดยจะยุบกองทุนน้ำมัน, จะกลับมาใช้ระบบจำนำข้าวเดือนพฤศจิกายนนี้, จะแจกบัตรเครดิตเกษตรกร บัตรเครดิตพลังงานแก่พี่น้องแท็กซี่ สามล้อ และมอเตอร์ไซค์ ฯลฯ เธอเข้าใจเนื้อหาโครงการเหล่านั้นหรือไม่ว่า ทำได้หรือไม่ได้ ว่าเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศชาติ เป็นคุณหรือเป็นโทษต่อคน ต่อเด็ก ต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นสัจจะวาจาที่ทั้งคน ทั้งดิน ทั้งฟ้า ต่างก็รู้เห็นเป็นพยาน

ก็ในเมื่อพริตตี้ยังต้องมีสำนึกว่า สิ่งที่พูดต้องตรงกับสินค้าที่จะขาย แม้พูดได้ไม่ครบไม่ถ้วน ไม่ลึกซึ้ง แต่ต้องไม่ตลบตะแลงหลอกลวงลูกค้า แล้วคนจะเป็นนายกรัฐมนตรี มิต้องมีสำนึกที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า พริตตี้ หรอกหรือ

แต่สังคมไทยก็ตกเป็นเหยื่อความเป็นหญิง แทนที่จะล้อมกรอบให้ยิ่งลักษณ์ขึ้นสู่เวทีประชันวิสัยทัศน์ (ดีเบต) เพื่อแจงแจงวิธีดำเนินโยบายประชานิยมทั้งหลายให้ฟังก่อนเลือกเธอ กลับปกป้องและมองว่าพรรคคู่แข่งคิดจะอาศัยวิชาช่างพูดที่ได้เปรียบกว่ามา รังแกเธอ ในที่สุด หลายเรื่องก็เป็นเรื่องพลิกลิ้น เช่น ค่าแรง 300 บาท ใช้เฉพาะกรุงเทพฯ กับภูเก็ตก่อน เป็นต้น

ฉะนั้น ถึงเวลานี้แล้ว อย่าได้ยึดโยงเอาความโง่หรือความฉลาด ไปผูกขาดอยู่กับผู้ชายหรือผู้หญิงเลยครับ

อย่าเสียเวลาตื่นเต้นยินดี ที่นายกรัฐมนตรีจะเพศอะไรเลยครับ เพราะไม่ว่าหญิงชาย ต่างก็โง่ได้ ฉลาดได้ ซื่อได้และคดได้เท่าเทียมกัน

เราควรเรียกหา "สติปัญญา" กับ "ศีลธรรมสำนึก" ให้เขาหรือเธอพูดแต่ความจริง รับผิดชอบในสิ่งที่พูด และรู้ในสิ่งที่พูดให้ถ่องแท้มากกว่า

หรือแม้แต่ผลสำรวจที่วุฒิฯสตรีบอกว่า "'สตรีคอร์รัปชั่นน้อยกว่าผู้ชายเพราะละอายต่อบาปและเชื่อในเวรกรรม" ผมก็คิดว่ามันไม่เกี่ยวอย่างแท้จริงกับเพศหญิงหรือเพศชายเลย

อย่าลืมว่าสตรีบางนาง กล้าหุ้นแทนพี่ชาย แล้วกล้ากล่าวอ้างอย่างเป็นเท็จกับพนักงานสอบสวนได้ ไม่ว่าจะชื่อ คตส. ชื่อ ปปช. หรือชื่ออะไรก็ไม่สำคัญ ยิ่งกล้า "เบิกความเท็จ" กับศาลได้ กล้าปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่แท้จริงกับตลาดหลักทรัพย์ได้ ด้วยใบหน้าซื่อๆ ผมว่า "หล่อน" ยิ่งน่าเกลียดน่ากลัว และผู้หญิงด้วยกัน พึงเดียดฉันท์ห้ามปราม

แถมเธอเป็นสตรีคนเดียวกับคนที่เดินเข้าไปยิ้มหวานให้ผู้คนในที่ชุมนุม ที่กองกำลังติดอาวุธ อาชญากร และนักการเมือง ล่อลวงประชาชนคนบริสุทธิ์มาเป็นโล่ โดยมิได้บอกความจริงกับประชาชนเหล่านั้น รวมถึงพลีตัวเป็นทางผ่านของบัญชีท่อน้ำเลี้ยง ฯลฯ ล้วนเลยสิ้นจากความเป็นบุรุษหรือสตรี ไปสู่บุคคลที่สังคมควรพิจารณา "ดี-ชั่ว" ได้แล้วมั้งครับ

ฉะนั้น การอยู่กับยิ่งลักษณ์หรือบุรุษสตรีใดๆ ในแผ่นดิน จะผม จะคุณ จะวุฒิฯหญิง หรือเด็กแว้นหญิงที่ไหนก็ตาม สมควรใช้ปัญญา พิจารณาไปที่ "เนื้อใน" ให้มากกว่า "เปลือก" มิใช่หรือ

จิตกร บุษบา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น